The Conjuring: Last Rites ถือเป็นบทสรุปของแฟรนไชส์หนังผีที่ครองใจแฟนๆ มานานกว่า 10 ปี เรื่องนี้ยังคงติดตามชีวิตของ เอ็ด และ ลอเรน วอร์เรน คู่รักนักปราบผีที่เผชิญกับคดีเหนือธรรมชาติครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต ภาพยนตร์เดินเรื่องด้วยโทนที่มืดหม่นและจริงจังกว่าภาคก่อนๆ ทำให้ผู้ชมรู้สึกได้ว่ามันคือ “บทสุดท้าย” ที่เดิมพันด้วยชีวิตและศรัทธา
โครงเรื่องนำเสนอการเผชิญหน้ากับพลังชั่วร้ายที่เกินกว่าจะควบคุมได้ ทุกฉากถูกออกแบบให้ตึงเครียดต่อเนื่องตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ใช่แค่การตกใจแบบ Jump Scare แต่เป็นความสยองที่ค่อยๆ กัดกินใจผู้ชม เมื่อบวกกับบรรยากาศบ้านร้าง โบสถ์ และพิธีกรรมมืด ทำให้หนังเต็มไปด้วยพลังความหลอนที่แตกต่างจากหนังผีทั่วไป
สิ่งที่ทำให้ The Conjuring: Last Rites โดดเด่นมาตลอด คือการแสดงของ แพทริก วิลสัน และ เวร่า ฟาร์มิกา ในบทคู่รักวอร์เรน ซึ่งภาคนี้ทั้งคู่ยังคงถ่ายทอดพลังทางอารมณ์ได้อย่างลึกซึ้ง เราไม่เพียงเห็นพวกเขาในฐานะนักล่าผี แต่ยังเป็นสามีภรรยาที่ต้องต่อสู้กับความกลัว ความสูญเสีย และศรัทธาที่ถูกทดสอบอย่างหนักหน่วง
บรรยากาศของหนังถูกถ่ายทอดออกมาอย่างสมจริง งานภาพใช้โทนสีเย็นและมืดตลอดเรื่อง เสริมด้วยเสียงประกอบที่กดดันจนทำให้คนดูแทบไม่กล้ากะพริบตา ฉากพิธีกรรมและโบสถ์เก่าแก่ในยุโรปถูกเนรมิตขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางความหลอนจริงๆ
เมื่อหนังจบลง สิ่งแรกที่ผู้ชมจะสัมผัสได้คือความ “อิ่มเอมและหลอนค้าง” ไปพร้อมกัน เพราะ The Conjuring: Last Rites ไม่ได้เป็นแค่หนังผีธรรมดา แต่คือบทสรุปของตำนานที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2013 การผสมผสานระหว่างความสยอง ความดราม่า และศรัทธาทางศาสนาถูกนำเสนออย่างกลมกลืน
แม้จะมีบางช่วงที่เดินเรื่องช้าเพื่อสร้างบรรยากาศ แต่ก็เป็นการปูทางให้กับฉากสำคัญที่เข้มข้นและน่าจดจำที่สุด หนังยังคงรักษามาตรฐานคุณภาพที่แฟนๆ คาดหวัง ทั้งในแง่ของการเล่าเรื่องที่ทรงพลัง และการถ่ายทอดความน่ากลัวที่แทรกซึมเข้าสู่จิตใจมากกว่าการตกใจเพียงชั่ววูบ